ก็พอเข้าใจนะว่า…
ทุกวันนี้การศึกษา คือ “ อนาคต ” ความหวังที่จะช่วยพลิกโอกาสให้ลูกคุณมีอนาคตที่ดี
หลายๆ ครอบครัวจึงทุ่มเททุกสิ่งอย่ างที่มีทั้งเงินและเวลา เพื่อแลกกับการให้ลูกได้เรียน
ในโรงเรียนดี ๆ ที่มีราคาสูง ส่งลูกเข้าคอสติวสอนพิเศษต่าง ๆ มากมาย จนลืมคิดไปว่า…
จริง ๆ แล้ว เราควรพัฒนาทักษะด้านอื่นควบคู่กันไปด้วย
-ตอนที่ลูกอายุได้ 2 ขวบ
เราส่งลูกเข้าเรียน “ เนอสเซอรี่ ” หมดค่าใช้จ่ายไปปีละ 8 หมื่น
เพียงแค่คิดว่ากลั วเขาจะพัฒนาไม่ทันเพื่อน เรียนไม่ทันเพื่อน ๆ
กลายเป็นว่าเราส่งลูกไปติดห วั ด ที่โรงเรียน เพราะเด็ กในวัยนี้
ภูมิต้านทานยังไม่แข็งแรงพอ ไหนจะเสี่ ย งที่จะต้องเจอกับพี่เลี้ยง
ที่ไม่ดี สอนแบบผิด ๆ อีก กลายเป็นพฤติกร ร ม ตัวอย่ างที่ซึมซับ มาโดยไม่รู้ตัว
-เมื่อลูกเข้าอนุบาล ยันประถม
เราจัดเต็ม ทั้งใน นอกหลักสูตร ต้องกวดวิชาเพื่อเตรียมสอบ
เข้า ป.1 และ เสริมด้วยคณิตศาสตร์ เรียนว่ายน้ำ เล่นไวโอลิน
ส่งเรียนภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น บลาๆ เพราะกลัวว่าลูกจะเรียน
ไม่เก่ง กลัวจะน้อยหน้าข้างบ้าน แต่จริง ๆ แล้วหารู้ไม่ว่า ….
“ จิตนาการ ” ต่างหาก คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะนำพาให้ลูก
คุณเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต
แต่คุณกำลังบังคับให้เขาเรียนโน้น ทำนี่ ฝึกนั่นนี่ ซึ่งมันเป็น
การปิดกั้ นพัฒนาการในด้าน “ จินตนาการ ” และการฝึกคิด
ของลูกไปโดยอั ตโนมัติ เรามัวแต่กลัวว่าลูกจะไม่เก่ง แต่ไม่
เคยถามความรู้สึกของลูกเลยว่า จริง ๆแล้วเขาฝันอย ากเป็น
อะไร หรือเพียงแค่เพราะเราแค่ยัดเยียดความฝันที่เรานั้นทำ
มันไม่สำเร็จ อย่ าเอาความล้ มเหลวที่เราทำให้พ่อแม่ผิดหวัง
ไปไว้ที่ลูก เพื่อให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จเพื่อมาชดเชย
“ ป ม ” ความล้ ม เห ล วในอดีตของเรา
-ในวัยมัธยมอมเปรี้ยว
คราวนี้หนักเลย เพื่อที่ลูกเราจะสอบให้ได้คะแนนดี เพื่อให้
ในการเข้ามหาลัยที่ดี ๆ ดัง ๆ ได้ ก็เลยส่งลูกไปเรียนพิเศษ
ทุกเย็นหลังเลิกเรียน เสาร์ อาทิตย์ จัดเต็มวันไปเลย พอปิด
เทอมก็ไม่มีพัก ส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ ไปยุโรป
ออสเตรลีย บลาๆ และบางทีลูกเราก็ไม่ได้อย ากไป มีแต่
พ่อแม่นี่แหละที่อย ากให้เขาไป บางบ้านนะหมดเงินปีละ
ประมาณ 6-7 แสนเลย เพียงเพื่อให้ลูกได้เรียนในสิ่งที่คิด
ว่าดี ลูกยังไม่ทันได้เข้ามหาลัยเลย กดไปเป็นสิบล้านแล้ว
–ถึงวัยทำงาน คือโลกแห่งความเป็นจริง
พอลูกเรียนจบก็คาดหวังว่า ลูกฉันเลี้ยงมาอย่ า งพิเศษ
ใส่ไข่ เพิ่มข้าว เพิ่มน้ำให้กินอิ่ม นอนอุ่น ดังนั้น จะจ้างลูกฉัน
มันก็ต้องแพงกว่าคนอื่นสิ… นี่ส่งเรียนหมดไปสิบล้านกว่า
เลยนะ และปัญหาก็คือ คุณค่าของใบปริญญาที่พ่อแม่กับ
นายจ้างมองมันไม่เท่ากัน
พ่อแม่ชาวไทย
ตีค่าใบปริญญาลูกรักสูงมาก เพราะเราอยู่ในกระบวนการ
จ่ายเงินจริง ด้วยราคาสูงอย่ างย ากลำบากมายาวนานกว่า 20 ปี
นายจ้าง
กลับตีค่าไม่สูงเท่าพ่อแม่ กลับมีคำถามใหญ่ ๆ 3 คำถาม คือ
1.ลูกคุณทำอะไรเป็นบ้าง
2.ลูกคุณเคยทำอะไรสำเร็จมาบ้าง
3.ลูกคุณจะมาสร้างความสำเร็จอะไรให้ที่นี่
อ ย่ า ลืมว่ายุคนี้ คือ ยุคที่เปิดกว้าง…
คนอินเดีย… พร้อมบินมาทำงานที่กรุงเทพ แถมยังเขียน
โปรแกรมเก่งยังกับคลอดออกมาจากคอมพิวเตอร์เลย ทั้ง
ยังขยันขันแข็ง ราวกับหุ่น ย นต์อีกด้วย
คนฟิลิปปินส์ อินโด มาเลย์… พร้อมจะบินมาทำงานที่กรุงเทพ
พวกเขาเก่งภาษาอังกฤษ ลอจิกดี คุมงานเป็นหัวหน้าโปรเจคต์
พรีเซนต์ดี ไม่แพ้ฝรั่ง
คนจีน… ไม่ต้องพูดถึง เรื่องความขยันนี่ ต้องยกให้เขาเลย
ความขยันอ่าน ขยันขายของ ขยันพบลูกค้า ใจสู้มาก เขา
ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ขนาดโดนด่ าก็ยังไม่ยุบ คนพวกนี้
คือ ยอดเซลล์แมน แต่กับคนไทย ปริญญามหาลัยมันเริ่ม
จะเบลอ ๆ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนรุ่นพ่อแม่ แน่นอนว่าย่อมมี
บางคนได้ไปต่อเจริญรุ่งเรืองโกอินเตอร์ แต่ก็มีจำนวนมาก
ที่แป้ก ตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นเดียวกัน…