เรื่องก็คือ…
กาลครั้งหนึ่ง มีพ่อลูกคู่หนึ่ง และพ่อก้ได้ชวนลูกออกไปเดินเล่นในป่าใหญ่
แต่ระหว่างทางนั้น พ่อได้หยุดเดินแล้วถามลูกว่าชายว่า
นอกจากเสียงนกร้องแล้ว ลูกได้ยินเสียงอะไรอีกมั้ย…?
ลูกชายจึงหยุดเดินสักพัก แล้วลองฟังเสียงนั้น ก่อนจะตอบว่า
นอกจากเสียงนกร้องแล้ว ก็ยังมีเสียงรถม้าวิ่งอยู่ด้วยครับ
พ่อบอกว่า.. ถูกต้องแล้ว และนั่นเป็นรถม้าที่ไม่ได้บรรทุกอะไรมาเลย
ลูกแปลกใจจึงถามพ่อต่อว่า
รู้ได้ไงครับพ่อ ว่านั่นมันเป็นรถม้าเปล่า
พ่อตอบกลับไปว่า…
ก็พ่อฟังจากเสียง เพราว่ารถม้านั้นยิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง
หลายปีผ่านไป…
เมื่อลุกชายเขาโตขึ้น ทุกครั้งที่เขาเจอคนที่ชอบคุยโ ม้ โ อ้อวด พูดจาโ อหัง
ชอบพูดข่ มคนอื่น ถือตนเป็นใหญ่ เขามักจะมีความรู้สึกเหมือนว่ามีพ่อมายืน
กระซิบอยู่ข้างหูตลอดว่า… รถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง
คนที่มีความเชี่ยวชาญในการเดินข้ามห้วย ข้ามน้ำลำธาร ก่อนที่จะลุยลงน้ำนั้น
เขามักหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วปาลงไปในน้ำก่อน เพื่อเป็นการคาดคะเน
ความลึกของน้ำ ยิ่งละอองน้ำกระจายสูงขึ้นเท่าไหร่ น้ำในลำธารก็จะยิ่งตื้นเท่านั้น
และในทางตรงกันข้าม ถ้าละอองน้ำกระเซ็นขึ้นมายิ่งน้อยฉันใด แล้วยังบวกกับ
กระแสน้ำที่ไหลเงียบสนิท พึงสังวรได้เลยว่า … น้ำจะยิ่งลึกมากขึ้นฉันนั้น
จงจำไว้ว่า น้ำนิ่งไหลลึก น้ำลึกไร้เสียง..
รถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง
คนเราก็เช่นกัน คนมี ดีแต่ไม่ทำตัวให้โด่ดเด่น ไม่โอ้อวดบารมี นั่นเป็นวิถีคนจริง
หากนำเอาหลักการเหล่านี้มาเปรียบเปรยกับบุคคลที่เราพบเจอ ก็จะสังเกตุได้ว่า
คนใจเย็น เวลาสนทนากับคนอื่นมักจะสามารถหลีกเลี่ ยงการขั ดแย้ งกับคู่สนทนาได้
แถมยังสามารถซึมซับรับรู้ถึงความคิดเห็นของคนอื่นได้ดีด้วย แทนที่จะดั นทุ รั งเอา
แต่ความคิดเห็นตนเป็นใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว
คนที่ก้าวเดินด้วยความใจร้อน มักจะมองไม่เห็นต ะปูบนพื้นฉันใด
คนที่เต็มไปด้วยความวิต กกังวล ก็ไม่รู้จักรสชาติของวันชื่นคืนสุขฉันนั้น
ปฐพีนี้ไม่มีอะไรใหญ่ไปกว่ามหาสมุทรหรอกนะ แต่เหนือสุดกว้างใหญ่กว่าคือเวหา
แม้นเวหาจะยิ่งใหญ่ครอบจักรวาล แต่ยังกว้างสู้จิตมนุษย์มิได้เอย…
ขอบคุณ ขจรศักดิ์